ฟร้อนท์ปรีเอาท์สูงๆ มีประโยชน์อย่างไร?
- วันที่: 03/05/2014 16:27
- จำนวนคนเข้าชม: 9079
ด้วยสภาพ”เสียงกวนพื้นฐาน”ของรถยุคสมัยใหม่ที่มีมากกว่ารถในยุคก่อนๆ ค่าอัตราส่วนเสียงต่อการรบกวน หรือ S/N จึงจำเป็นต้องทำได้มากกว่า 80 dB ขึ้นไป เพื่อเอาชนะต่อปัญหาเสียงกวนพื้นฐานที่ว่านี้ และนี่คือเหตุผลหนึ่งของการใช้ฟร้อนท์ปรีเอาท์สูงๆ
ในยุคสมัยก่อนฟร้อนท์เอ็นด์หรือวิทยุ-เทปที่ใช้กันในระบบเสียงรถยนต์ จะมีระดับสัญญาณปรีเอาท์อยู่ที่ประมาณ 300 – 500 mV ด้วยเหตุผลหลักสอง-สามประการคือ หนึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สองประสิทธิภาพของสื่อบันทึก(ละมุนพรรณ) สามการรับฟังไม่ค่อยเน้นเรื่องไฮไฟเดลิตี้มากนัก
ในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าของสื่อดิจิตอลทั้งหลาย ที่ให้ความคมชัดเหมือนจริงของเสียงได้ครบถ้วนสมบูรณ์ รวมถึงมีความเป็นไฮไฟเดลิตี้ที่ถูกต้องมากขึ้น ทำให้อุปกรณ์ต่อร่วมในส่วนอื่นๆมีการพัฒนาตามอย่างรวดเร็ว ทั้งเพาเวอร์แอมป์, ลำโพงกลาง-แหลม และลำโพงซับวูฟเฟอร์ แน่นอนว่าประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของอุปกรณ์เหล่านี้ ก็จำเป็นต้องมี”ต้นสัญญาณ”ที่มีประสิทธิภาพสูงๆด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ สัญญาณปรีเอาท์ของวิทยุในระดับ 500 mV จึงไม่เพียงพอที่จะทำให้อุปกรณ์อื่นๆเหล่านี้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ จึงได้มีการพัฒนาระดับสัญญาณปรีเอาท์ให้อยู่ที่ระดับ 2 โวลท์ขึ้นไป(ปกติมาตรฐานจะอยู่ที่ 4 โวลท์ สำหรับประสิทธิภาพสูงสุด)
ฟร้อนท์เอ็นด์ที่มีระดับปรีเอาท์ 4 โวลท์ จะสามารถสร้างค่า S/N ได้ในระดับเกินกว่า 90 dB สามารถลดการไหลข้ามช่องเสียงของสัญญาณได้มากขึ้นตามไปด้วย ที่สำคัญสามารถเพิ่มขอบเขตความกว้างของแถบเสียงได้ถึงช่วง 10 Hz ถึง 25kHz ให้อัตราการสวิงของเสียงได้สูงเกินกว่า 30 uS อันมีผลทำให้เกิดค่าแดมปลิ้งแฟคเตอร์ที่สนองตอบความฉับพลันของเสียงได้ยิ่งยวด ดังนั้นประโยชน์ของฟร้อนท์เอ็นด์ที่มีปรีเอาท์สูงๆจึงค่อยข้างมากทีเดียวครับ