The Railway Man
- วันที่: 18/04/2014 16:01
- จำนวนคนเข้าชม: 9492
เรื่องย่อ The Railway Man
ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เอริก โลแมกซ์ (โคลิน เฟิร์ธ) นายทหารยศร้อยตรีประจำเหล่าสื่อสาร แห่งกองทัพสหราชอาณาจักร ก็ถูกกองกำลังญี่ปุ่นจับตัวและถูกส่งไปยังค่ายเชลยในประเทศไทย ซึ่งเขาก็ต้องถูกทรมานและถูกบังคับให้เป็นแรงงานในการสร้างรถไฟสายมรณะ
หลายปีต่อมา โลแมกซ์ กลับมาใช้ชีวิตในอังกฤษ แต่บาดแผลทางใจก็ยังคงตามหลอกหลอน เขาได้รับกำลังใจและการสนับสนุนจาก แพทริเชีย (นิโคล คิดแมน) ภรรยาของเขา ให้เผชิญหน้ากับอดีตเพื่อหาบทสรุปให้กับตัวเอง โลแมกซ์ ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังสถานที่ที่เขาเคยถูกคุมขัง แต่ที่นั้นเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับ นากาเซะ (ฮิโรยูกิ ซานาดะ) นายทหารญี่ปุ่นที่เคยเป็นผู้ทรมานเขา โลแมกซ์ ต้องเจอกับทางเลือกที่สำคัญของชีวิต เมื่อเขาต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุดในการก้าวข้ามอดีตและความเจ็บปวดของตัวเอง
เกร็ดภาพยนตร์
• The Railway Man สร้างจากเรื่องจริงของอดีตนายทหารชาวอังกฤษ ที่กลายหนังสือที่ขายดีไปทั่วโลก โดยนักแสดงนำรางวัลออสการ์อย่าง โคลิน เฟิร์ธ ก็ได้พบกับ เอริค โลแม๊กซ์ ตัวจริงที่ยังมีชีวิตอยู่ในวัย 91 ปี โดยเขาก็ได้พูดถึงหัวใจของหนังเรื่องนี้ว่า "เราอาจจะเคยเห็นหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตคนหลังผ่านสงคราม แต่น้อยครั้งนักที่เราจะเห็นชีวิตของพวกเขาหลังจากที่เรื่องราวผ่านไปนาน ขนาดนี้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของบาดแผล การไถ่บาป หรือการล้างแค้น แต่มันยังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ และความรักที่ส่งผลกระทบไปถึงการกระทำอีกด้วย"
• นอกจากจะได้สองนักแสดงนำเจ้าของรางวัลออสการ์แล้ว หนังก็ยังมีทีมนักแสดงระดับคุณภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เจเรมี เออร์วีน นักแสดงดาวรุ่งจาก The War Horse ที่รับบทเป็น เอริก โลแม๊กซ์ ในวัยหนุ่ม, ฮิโรยูกิ ซานาดะ นักแสดงชาวอาทิตย์อุทัยที่เคยประกบคู่กับ ทอม ครูซ ใน The Last Samurai และ สเตลแลน ซาร์สการ์ดนักแสดงที่มีผลงานในหนังบล็อคบัสเตอร์อย่าง Thor และ The Pirates of the Caribbean
• The Railway Man ถ่ายทำในประเทศไทยกว่า 80% ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนปีที่แล้ว โดยก็ได้ใช้สถานที่อย่าง หัวลำโพง, บางซื่อ และจังหวัดกาญจนบุรีเป็นสถานที่ถ่ายทำหลัก โดยผู้สร้าง แอนดี้ พาเธอร์สัน ก็ได้พูดถึงการถ่ายทำว่า "มันสำคัญที่เราจะต้องใช้สถานที่จริง เพื่อถ่ายทอดบรรยากาศออกมาให้มีความถูกต้องมากที่สุด ในขณะเดียวกันแนวทางที่เราต้องการทำกับเรื่องนี้ก็คือ การก้าวข้ามความคิดที่ว่าใครเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายร้าย เพราะมันเป็นโอกาสที่ดีในการกลับไปสำรวจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และยอมรับกับความผิดพลาดที่ได้ทำลงไปในระดับปัจเจกบุคคล เพราะผมเชื่อว่าไม่มีใครบนโลกที่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น"