จะใช้เพาเวอร์แอมป์ กำลังขับกี่วัตต์ จึงจะเหมาะสมกับระบบไฟในรถ
- วันที่: 21/02/2015 15:53
- จำนวนคนเข้าชม: 14532
จริงๆแล้วจำนวนอัตรากระแสของไดชาร์จประจำรถ จะเป็นตัวตัดสินถึงขนาดของเพาเวอร์แอมป์ที่จะใช้ได้ในระบบเสียงของรถคันนั้นๆได้ดีที่สุด โดยถือเกณฑ์กระแสสำรองที่ประมาณ 40% ของกระแสไดชาร์จที่จะสามารถจ่ายไฟให้กับระบบเสียงได้(อีก 60% ต้องใช้กับระบบไฟในรถ) จากนั้นก็คำนวณอัตรากินกระแสของเพาเวอร์แอมป์ที่จะนำมาใช้ ว่าพอเหมาะกับ 40% ของกระแสจากไดชาร์จหรือไม่
การคำนวณกระแสที่ไหลในเพาเวอร์แอมป์ จะคูณด้วยจำนวนของช่องเสียงที่เป็น RMS ต่อช่อง (ถ้าเป็นแอมป์ 2 แชนแนล ที่กำลังขับ 300 วัตต์ RMS ก็จะได้เป็น 600 วัตต์ RMS) จากนั้นเอากำลังวัตต์ที่ได้คูณด้วย 2 (600 วัตต์ x 2 = 1200 วัตต์) จากนั้นหารด้วยแรงดันไฟที่ไดชาร์จ ประมาณ 13.8 โวลต์ (1200 หารด้วย 13.8 = 87 แอมแปร์) หากแต่ว่าสัญญาณเสียงดนตรีจะต้องการกระแสทำงานจริงที่ประมาณ 1/3 ของกำลังรวมทั้งหมด เราจึงหารกระแสนี้ด้วย 3 (87 แอมแปร์หารด้วย 3 = 29 แอมแปร์) ดังนั้นกระแสที่ไหลโดยประมาณในเพาเวอร์แอมป์จึงเท่ากับ 29 แอมแปร์ จึงใช้ได้กับไดชาร์จที่ให้กระแส 75 A เป็นอย่างต่ำ
การคำนวณอย่างง่ายๆนั้น อาจดูที่ขนาดฟิวส์ที่ใช้อยู่ในแอมป์แต่ละตัว โดยนำค่าฟิวส์ที่ได้ทั้งหมดหารด้วย 2 เช่นแอมป์ 5 แชนแนลตัวหนึ่งใช้ฟิวส์ 20 A สองตัว ก็เท่ากับ 40 A หารด้วย 2 = 20 A
การเทียบอัตราการไหลเฉลี่ยในเพาเวอร์แอมป์กับกระแสสำรองของไดชาร์จ คือการหาความเหมาะสมของขนาดกำลังขับของเพาเวอร์แอมป์ที่เหมาะสมกับรถคันนั้นๆ เช่น ไดชาร์จของรถคันหนึ่งให้กระแสได้ 65 แอมแปร์ ก็จะใช้ได้กับระบบที่มีกำลังขับ 270 วัตต์ x 2 RMS (หรือรวม 540 วัตต์ RMS) ส่วนรถที่มีไดชาร์จขนาดกระแส 35 แอมแปร์ ก็จะใช้กับระบบที่มีกำลังขับ 150 วัตต์ x 2 RMS (หรือรวม 300 วัตต์ RMS)
นอกจากนั้นการใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่มกำลังไฟในระบบ ก็สามารถทำให้เราใช้ระบบที่มีกำลังขับสูงขึ้นได้ โดยไม่มีผลกระทบกับขนาดของไดชาร์จที่ตัวรถคันนั้นๆ อาทิ BAT-CAP หรือ SUPER CAPACITOR